สรุปหนังสือ Give and Take

การให้ ที่ไม่ใช่แค่การเป็นคนใจดี

คุณเคยรู้สึกไหมว่าการให้ของคุณมักนำไปสู่การถูกเอาเปรียบ หรือคุณทุ่มเทช่วยเหลือเพื่อนและลูกค้าอย่างเต็มที่แต่กลับไม่ได้รับอะไรกลับมาเลย? แล้วทำไมบางคนถึงสามารถให้จนสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและธุรกิจที่เติบโตได้ ในขณะที่บางคนกลับพบว่าการให้ทำให้ตัวเองเหนื่อยล้าและไม่มีอะไรดีขึ้น? ถ้าคุณเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ ลองอ่านหนังสือ Give and Take ของ Adam Grant มาค้นหาคำตอบว่าการให้ที่ดีควรเป็นอย่างไร และทำไมบางครั้งการให้ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีแต่กลับทำให้เราล้มเหลว พร้อมเรียนรู้วิธีป้องกันการถูกเอาเปรียบและสร้างความสำเร็จในธุรกิจและชีวิตส่วนตัวของคุณกันเถอะ!

  1. รูปแบบของการให้และรับ

    Adam Grant แบ่งประเภทของคนออกเป็นสามกลุ่มหลักๆ ได้แก่ ผู้ให้ (Givers), ผู้รับ (Takers), และผู้แลกเปลี่ยน (Matchers)

    Givers (ผู้ให้): คนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน มักมีความสุขจากการเห็นผู้อื่นประสบความสำเร็จ

    Takers (ผู้รับ): คนที่มักจะรับผลประโยชน์จากผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงการให้กลับ มุ่งเน้นผลประโยชน์ตัวเองเป็นหลัก

    Matchers (ผู้แลกเปลี่ยน): คนที่ชอบแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือ โดยคาดหวังว่าจะได้รับสิ่งตอบแทนกลับมาเท่าเทียมกัน

    การให้ที่มีประสิทธิภาพ

    การให้ที่สร้างประโยชน์ทั้งสองฝ่าย: การให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของผู้อื่น ซึ่งอาจนำมาซึ่งโอกาสในการร่วมงานในอนาคต

    เทคนิคการให้: การให้ในขอบเขตที่พอดีและไม่ทำให้ตัวเองเหนื่อยหน่าย เช่น การตั้งเวลาที่แน่นอนในการให้ความช่วยเหลือ และรู้จักปฏิเสธเมื่อจำเป็น

    การให้ที่ไม่สมเหตุสมผล

    การให้ที่เสียเปรียบ: การให้ที่ทำให้ตัวเองเสียหายหรือสูญเสียพลังงานมากเกินไป เช่น การให้เวลาและทรัพยากรไปโดยไม่คำนึงถึงความสำคัญของตัวเอง

    วิธีการหลีกเลี่ยง: การตั้งขอบเขตที่ชัดเจนและรู้จักปฏิเสธเมื่อไม่สามารถช่วยได้จริง ๆ

    พลังของการเชื่อมโยง

    การสร้างเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ: การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและมีประโยชน์ในระยะยาว เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับผู้เชี่ยวชาญในสายงานเดียวกันหรือผู้ที่สามารถช่วยเสริมสร้างธุรกิจของคุณ

    วิธีการเชื่อมโยง: วิธีการเข้าหาคนอื่นอย่างจริงใจและช่วยเหลือผู้อื่นก่อน เช่น การเข้าร่วมกลุ่มสังคมที่มีความสนใจร่วมกันและเสนอความช่วยเหลือที่คุณสามารถทำได้

    ความสำคัญของความเห็นอกเห็นใจและการเข้าใจผู้อื่น

    การเห็นอกเห็นใจ: การเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเพิ่มความน่าเชื่อถือ

    ผลกระทบ: ผลดีที่เกิดจากการเข้าใจผู้อื่น เช่น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงานและการพัฒนาธุรกิจ

    การสร้างวัฒนธรรมการให้ในองค์กร

    การส่งเสริมวัฒนธรรมการให้: วิธีการทำให้องค์กรมีวัฒนธรรมการให้ที่แข็งแกร่ง เช่น การส่งเสริมการช่วยเหลือกันและกันในทีมงาน การยกย่องการให้และการสนับสนุน

    ประโยชน์ต่อองค์กร: ผลดีที่องค์กรจะได้รับจากการมีวัฒนธรรมการให้ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ความพึงพอใจของพนักงาน และการลดความขัดแย้งในทีม

    กรณีศึกษาและตัวอย่างที่น่าสนใจ

    ตัวอย่างจริง: การนำเสนอกรณีศึกษาจริงที่แสดงถึงการให้ที่นำไปสู่ความสำเร็จ เช่น เรื่องราวของผู้ประกอบการที่ใช้การให้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางธุรกิจ

    การสรุปผล: การวิเคราะห์ผลลัพธ์และบทเรียนที่ได้จากกรณีศึกษาเหล่านั้น เพื่อให้ผู้อ่านนำไปประยุกต์ใช้ได้

    บทเรียนจากการให้ในสถานการณ์ต่าง ๆ

    บทเรียนจากธุรกิจ: การให้ในบริบทของธุรกิจและการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น การให้บริการเสริมโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างความประทับใจ

    บทเรียนจากชีวิตส่วนตัว: การให้ในชีวิตประจำวันและความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการให้ เช่น การช่วยเหลือเพื่อนบ้านหรือชุมชน ซึ่งสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและได้รับการสนับสนุนกลับ

    การวัดผลและการประเมินความสำเร็จของการให้

    วิธีการวัดผล: การใช้เครื่องมือและเกณฑ์ต่าง ๆ ในการประเมินผลการให้ เช่น การสำรวจความคิดเห็นของผู้รับ การวัดความพึงพอใจ และการติดตามผลการทำงาน

    การปรับปรุง: การใช้ข้อมูลที่ได้จากการวัดผลในการปรับปรุงการให้ของเรา เช่น การปรับเปลี่ยนวิธีการให้หรือการตั้งเป้าหมายใหม่

    การบริหารจัดการทรัพยากรและเวลาในการให้

    การจัดลำดับความสำคัญ: การจัดลำดับความสำคัญของการให้เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การเลือกให้ในสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดต่อผู้อื่นและตัวเราเอง

    การบริหารเวลา: เทคนิคการจัดการเวลาเพื่อไม่ให้การให้กระทบต่อการทำงานและชีวิตส่วนตัว เช่น การตั้งเวลาที่แน่นอนสำหรับการช่วยเหลือผู้อื่นและการรักษาสมดุลระหว่างการให้กับการดูแลตัวเอง

    หัวข้อพิเศษ: การให้ในบริบทของการเริ่มต้นธุรกิจใหม่

    การให้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ: การให้ข้อมูลหรือคำปรึกษาที่เป็นประโยชน์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในวงการธุรกิจ เช่น การเขียนบล็อกที่มีเนื้อหาที่มีคุณค่า หรือการจัดเวิร์กช็อปฟรี

    การให้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน: การให้ในแบบที่สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน เช่น การสนับสนุนพันธมิตรทางธุรกิจ การให้ความช่วยเหลือในการแก้ปัญหาของลูกค้า

    การให้เพื่อการตลาดและการประชาสัมพันธ์: การใช้การให้เป็นกลยุทธ์ในการตลาดและการประชาสัมพันธ์ เช่น การจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนหรือการแจกของรางวัล

    การบริหารความเหนื่อยหน่าย: เทคนิคการจัดการความเหนื่อยหน่ายจากการให้ เช่น การตั้งขอบเขตและการรู้จักการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น

สรุปหนังสือ Give and Take

การให้ที่ดีในบริบทธุรกิจและความสัมพันธ์ส่วนบุคคล

การให้ที่มีประสิทธิภาพ

การให้ที่มีประสิทธิภาพต้องมีการวางแผนและมีเป้าหมายที่ชัดเจน การให้ที่ดีจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ ตัวอย่างเช่น การให้คำปรึกษาฟรีหรือการแบ่งปันความรู้จะช่วยสร้างเครือข่ายธุรกิจและเปิดโอกาสใหม่ๆ การวางแผนการให้ที่ดีต้องมีการกำหนดขอบเขตและเงื่อนไขในการให้ เช่น การตั้งข้อตกลงที่ชัดเจนก่อนการให้ความช่วยเหลือจะช่วยป้องกันการถูกเอาเปรียบและทำให้การให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปัจจัยที่ทำให้การให้ล้มเหลว

การให้ที่ไม่มีการวางแผนหรือให้โดยไม่มีการกำหนดขอบเขตชัดเจนอาจทำให้เกิดการถูกเอาเปรียบและล้มเหลว ตัวอย่างเช่น การให้ทรัพยากรหรือเวลาโดยไม่คำนึงถึงความสมดุลระหว่างการให้และการรับอาจนำไปสู่ความล้มเหลวและความไม่พอใจ

การประเมินและปรับปรุงการให้

การประเมินผลการให้และการปรับปรุงวิธีการให้เป็นสิ่งสำคัญ การรวบรวมข้อมูลย้อนกลับจากผู้รับและการวิเคราะห์ผลลัพธ์จะช่วยให้เราปรับปรุงการให้ให้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น การสอบถามความคิดเห็นจากผู้รับและนำข้อมูลนั้นมาปรับปรุงวิธีการให้

ผลประโยชน์ของการให้ที่ดีในธุรกิจ

การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง

การให้ที่ดีช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ การให้บริการหรือส่วนลดพิเศษแก่ลูกค้าประจำเป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างความพึงพอใจและความภักดีจากลูกค้า

การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

การให้ที่ดีสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีได้ การให้โอกาสพนักงานในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างทีมงานที่มีคุณภาพ

หลักการพิจารณาการให้ที่เหมาะสม

การให้ที่เหมาะสมในทั้งเชิงความสัมพันธ์ส่วนบุคคลและเชิงธุรกิจ ควรพิจารณาดังนี้:

  1. ประโยชน์ระยะยาว: การให้ควรสร้างประโยชน์ระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาความสามารถของผู้รับหรือการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง
  2. ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน: การให้ไม่ควรทำให้ตัวเองเดือดร้อนทั้งในเรื่องเวลา ทรัพยากร หรือสุขภาพ หากการให้ทำให้ตัวเองเดือดร้อนบ้าง ก็ต้องมั่นใจว่าคุ้มค่ากับประโยชน์ที่เกิดขึ้น เช่น การสร้างความเชื่อใจหรือการได้รับการสนับสนุนในอนาคต
  3. การตั้งเป้าหมายและขอบเขต: การให้ควรมีเป้าหมายชัดเจนและมีขอบเขตที่แน่นอน เช่น ช่วยเหลือเพื่อนเพื่อให้เขาพัฒนาความสามารถ หรือให้บริการพิเศษแก่ลูกค้าในขอบเขตที่ไม่กระทบการทำงานหลัก
  4. การประเมินผลกระทบ: พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ หากการให้ส่งผลเสียมากกว่าผลดี เช่น ทำให้ตัวเองเหนื่อยล้าหรือทำให้ทรัพยากรไม่เพียงพอ ก็ควรปรับเปลี่ยนหรือจำกัดการให้
  5. การสร้างความสมดุล: การให้ควรมีความสมดุลระหว่างการให้และการรับ เพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบและรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง การให้ที่มีความสมดุลจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

สรุปหนังสือ Give and Take

  1. การให้ที่หวังผลประโยชน์อาจถูกมองว่าไม่จริงใจ:

    • ข้อโต้แย้งนี้เกิดจากความรู้สึกว่าการให้ที่มีเป้าหมายเพื่อรับผลตอบแทนอาจถูกมองว่าเป็นการทำเพื่อตัวเองมากกว่าการทำเพื่อผู้อื่น ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์ดูไม่เป็นธรรมชาติหรือจริงใจ
  2. ความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ระยะยาว:

    • หากผู้รับรู้สึกว่าการให้ของคุณมีเป้าหมายเพียงเพื่อผลประโยชน์ของคุณเอง อาจทำให้ความสัมพันธ์ในระยะยาวเกิดความไม่ไว้วางใจ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ในอนาคต
  3. การประเมินความคุ้มค่าในการให้:

    • การให้ที่หวังผลประโยชน์อาจต้องมีการประเมินว่าผลตอบแทนที่คาดหวังจะคุ้มค่ากับการให้หรือไม่ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ
  4. การให้ที่มีเจตนาหวังผลตอบแทนสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนได้จริงหรือ?:

    • ผู้คนอาจสงสัยว่าการให้ที่มีเป้าหมายเพื่อผลตอบแทนจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและแท้จริงได้หรือไม่
  5. ความแตกต่างระหว่างการให้ที่หวังผลประโยชน์และการให้ที่ไม่มีเงื่อนไข:

    • ผู้คนอาจต้องการทราบว่าความแตกต่างระหว่างการให้ที่หวังผลประโยชน์กับการให้ที่ไม่มีเงื่อนไขคืออะไร และการให้แบบไหนที่จะได้ผลดีที่สุดในสถานการณ์ต่างๆ
  6. การให้ที่เหมาะสมในบริบทธุรกิจควรเป็นอย่างไร?:

    • ผู้คนอาจสงสัยว่าการให้ในบริบทธุรกิจควรมีลักษณะอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อผู้ให้และผู้รับ
  7. เมื่อไหร่ที่ควรหยุดให้และวางขอบเขตการให้:

    • ผู้คนอาจสงสัยว่าควรตั้งขอบเขตการให้ที่ไหนและเมื่อไหร่ที่ควรหยุดให้ หากการให้ทำให้ตนเองเดือดร้อนหรือไม่เห็นผลลัพธ์ที่คาดหวัง
  8. การให้ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจควรมีแนวทางอย่างไร?:

    • ผู้คนอาจต้องการทราบว่าแนวทางการให้ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ควรเป็นอย่างไร

 

การให้ที่ดีในบริบทธุรกิจและความสัมพันธ์ต้องมีการวางแผนและการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง การให้ที่มีความสมดุลและมีเป้าหมายชัดเจนจะช่วยป้องกันการถูกเอาเปรียบและสร้างความสำเร็จในธุรกิจอย่างยั่งยืน การพิจารณาข้อโต้แย้งและคำถามคาใจจะช่วยให้การให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์สูงสุดทั้งต่อผู้ให้และผู้รับ การให้ที่ดีต้องสร้างประโยชน์ระยะยาว ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน หรือหากเดือดร้อนบ้างก็ต้องคุ้มค่ากับประโยชน์ที่เกิดขึ้น มีการตั้งเป้าหมายและขอบเขตชัดเจน พร้อมประเมินผลกระทบและรักษาความสมดุลระหว่างการให้และการรับ

ดูบทความอื่น

🚀 สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน: Unfair Advantage สำหรับ Solopreneur ด้วยต้นทุนต่ำ! 💡

คุณเป็น solopreneur ที่เริ่มต้นธุรกิจใหม่ด้วยงบจำกัดใช่มั้ย? 🤔 มาทำความรู้จักกับ “Unfair Advantage” ที่จะช่วยให้คุณมีความได้เปรียบในการแข่งขัน และประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น! 🌟

Read More

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top