fbpx
Home คอร์สออนไลน์วิธีพูดหน้ากล้องให้ “ทรงพลัง” แบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องตะโกน
วิธีพูดหน้ากล้องให้ “ทรงพลัง” แบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องตะโกน

วิธีพูดหน้ากล้องให้ “ทรงพลัง” แบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องตะโกน

สวัสดีค่ะ คลิปนี้เราจะมาพูดกันเรื่อง การพูดหน้ากล้องให้ทรงพลัง

เทคนิคการพูดให้ทรงพลังเนี่ย เราจะเห็นกันบ่อยๆ

ในคนที่เป็นโค้ชใช่ไหมคะ คนที่จะต้องให้แรงบันดาลใจกับผู้คน

เขาก็จำเป็นที่จะต้องดูมีพลัง มี power เพื่อที่ให้คนเชื่อ แล้วก็รู้สึกตามไปกับสิ่งที่เขากำลังจะบอกนะคะ

ซึ่งวิธีการ การพูดให้ทรงพลัง ในความหมายของบีนะคะ มันจะไม่ได้เป็นในเชิงของการ

ที่เราจะต้องพูดเสียงดังตะโกนมาเยอะๆ หรือท่าทางเยอะๆ นะคะ

หรือว่าทำหน้าให้มันดูรุนแรงเกรี้ยวกราดร้ายแรง ของบีก็จะไม่ได้เชิงนั้นอยู่แล้วนะคะ

ใครติดตามบีก็จะรู้ว่า บีก็เป็นคนซอฟๆ แบบนี้นะคะ แต่ว่าบีมีไอดอลคนนึงนะ

ที่บีรู้สึกว่า เขาสามารถใช้ความสงบความนิ่ง ความมั่นคง แล้วสามารถพูดได้อย่างทรงพลัง

เธอเป็นสตรีหมายเลข 1 ตลอดกาลค่ะ มีคนเรียกเธออย่างนั้นนะคะ ก็คือ

มิเชล โอบาม่านั่นเองนะคะ คำพูดของเธอแต่ละคำ คนต้องแบบว่า

ปากค้างแล้วคนฟังไปก็แบบน้ำตาไหล คืออะไรอย่างนี้นะคะ คำพูดของเธอทุกคำพูดทรงพลังมากเลยนะคะ

แต่ในขณะเดียวกันค่ะ บุคลิกท่าทางของเธอ ก็ยังดูเป็นคนที่เข้าถึงง่ายอบอุ่นนะคะ

ดูมีความเป็นมิตร เป็นแม่ เป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผู้คนนะคะ

บีเก็บเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ จากการสังเกตของตัวบีเองนะคะ เอามานำเสนอออกเป็นข้อๆ ละกันนะคะ

ไปดูกันทีละข้อค่ะ มิเชล โอบาม่าเนี่ย ถือเป็นคนหนึ่งที่สามารถผสมผสานเกี่ยวกับ

เรื่องความเข้าอก เข้าใจและอารมณ์ความรู้สึก ผสมกับเรื่องตรรกะ เรื่องข้อเท็จจริง

วิชาการผสมเข้ามากันได้อย่างลงตัวนะคะ ซึ่งถ้าเกิดว่า เราเป็นคนทั่วไป

ถ้าจะเอาเป็นหมอ เป็นทนายเนี่ย เราก็คงออกมาพูดในเชิงวิชาการตรรกะข้อมูลเนี่ย คนก็เบื่อ

คนก็ไม่อิน คนก็อาจจะไม่อยากฟัง ก็คือได้ข้อมูลแล้วก็จากไป เขาก็ไม่รู้สึกชอบพอ

หรือว่ารู้สึกว่าคำพูดเป็นคำพูดที่มัน impact ต่อความรู้สึกต่อชีวิตเขา

อะไรเท่าไหร่ มันก็จะผ่านไป หรือถ้าเกิดว่าเรามีแต่พวกอารมณ์ความรู้สึกจะจัดๆ เลย

พูดแล้ว ก็บิวท์ พูดแล้วก็น้ำตาไหล พูดแล้วก็อินอย่างเดียวเลย ตรรกะอะไรไม่มีเลย

อินมีแต่อารมณ์อย่างเดียวเลย ดราม่าอย่างเดียวเลย แบบนี้มันก็จะได้แต่คนที่ชอบดราม่า

แต่ตรรกะเนื้อหาอะไรที่มันจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเป็นจริงเป็นจัง มันจะไม่มีเลย

ถ้าเกิดเรายึดแคอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็จะไม่เรียกว่า คำพูดของเราจะสามารถ

ทรงพลังได้นะคะ ทีนี้มิเชล โอบาม่าเนี่ย เขาเอาสองส่วนนี้มาผสมกันอย่างลงตัวค่ะ

โดยปกติแล้ว เวลาที่เราฟังสุนทรพจน์ของมิเชล โอบาม่า เรามักจะเห็นว่า

เขามักจะเปิดด้วยเรื่องเล่าเปิดด้วยคำพูดที่เข้าอกเข้าใจผู้คน คือพูดในเชิงของอารมณ์

ความรู้สึกบอกว่าฉันเข้าใจคุณนะ ฉันก็รู้ว่าคุณกำลังรู้สึกยังไงนะ

ฉันก็มีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน ฉันเคยผ่านความรู้สึกนี้ มันเจ็บปวดแค่ไหน

ฉันเข้าใจดีฉันขอพูดในฐานะคนๆ หนึ่งเหมือนกับคุณนะคะ พูดเพื่อที่จะ

ให้คนมีอารมณ์ร่วมกับคำพูดของเรา

ดึงเขาเข้ามาว่าให้เราเป็นพวกเดียวกันนะ เป็นมนุษย์คนนึงธรรมดาที่มีอารมณ์

ความรู้สึกเหมือนแบบเดียวกันเลย เรียกได้ว่าเขาสามารถดึงคนดูมาเป็นพวกได้แหละ

แต่การดึงคนดูมาเป็นพวก ว่าเรามีอารมณ์ร่วมเหมือนกัน เรามีความรู้สึกแบบเดียวกันอย่างเดียว

มันไม่พอปิดท้ายเนี่ย มิเชล โอบาม่า มักจะจบด้วยเรื่องของตรรกะ

เธอจะจบด้วยตรรกะที่มันฟังแล้วมัน นี่แหละคือสิ่งที่ฉันจะยึดออกไปปฏิบัติกับชีวิตฉัน

ถ้าสมมุติว่าบีจะมาพูดในเรื่องของการสร้างตัวตนบนออนไลน์ ถ้าบีจะพูดขึ้นมาว่า

ในช่วงที่บีเริ่มต้นทำช่อง youtube ทำเพจ facebook ด้วยความที่ประสบการณ์น้อย

แล้วก็ด้วยความใหม่ด้วย ความที่หน้าตาก็ไม่ได้จะสวย หน้าสดอะไรก็ไม่ดี ถ่ายด้วยกล้องมือถือ

ตัดต่อด้วยมือถือในตอนนั้น ทุกอย่างเนี่ย มันดูแบบบ้านๆ มาก สิ่งที่ได้รับกลับมาเนี่ย

มันไม่ได้เป็นในเชิงบวกนะคะ ในตอนแรกนะคะ ถ้าจะมองหันซ้ายที ก็เป็นคนว่าแบบ

อยากสวยเหรอ อยากดังเหรอ คิดว่าตัวเองเก่งเหรอ ด้านขวา

ก็จะเป็นแบบ ทำอะไรเสียเวลา เงินก็ไม่ได้ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีไหม

ด้านหลังก็เป็นปัญหาต่างๆ จากการทำงาน ซึ่งเราอาจจะรู้ไม่หมด

รู้ไม่ครบปัญหาที่มันเกิดขึ้นเหนือความคาดหมาย หรือเหนือแผนที่เราวางไว้ มันมีแต่ลบๆ

เต็มไปหมด ถึงแม้ว่ามันจะมีอะไรบวกๆ เข้ามาด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเทียบอัตราส่วนแล้ว

ช่วงเริ่มต้นยังไงเราต้องเผชิญกับอะไรที่ลบๆ มากกว่าบวกอยู่เป็นปกตินะคะ

ถ้าเกิดว่าในสถานการณ์ตอนนั้น บีมองตัวเองแค่เฉพาะ ขวา ซ้าย

ข้างหลัง มองแค่ตรงรอบข้างตัวตรงนี้ บีจะไม่สามารถทำงานออกมาให้สำเร็จลุล่วงได้เลย

แต่สิ่งที่บีทำคือ บีมองจากข้างหน้า เวลาที่บีตัดสินใจว่าเวลานี้ เราจะทำอะไร

มันเกิดมาจากว่าบีมีเป้าหมายที่วางเอาไว้ ว่าต้องการให้มันเป็นยังไง

เมื่อบีวางเป้าหมายในอนาคตเสร็จ บีถึงเอาอนาคตตรงนั้นที่บีวางไว้เนี่ย

เอามาแปลงเป็นสิ่งที่บีต้องทำในปัจจุบัน เรารู้แล้วว่า สิ่งที่เราทำไว้เนี่ย

มันมีเป้าหมายเพื่ออะไร ผลในอนาคตมันคืออะไร

เราจะไม่จมอยู่กับสถานะการณ์ลบๆ ปัจจุบัน

มิเชล โอบาม่าเนี่ย เขาเป็นคนโทนเสียงต่ำ บีเคยพูดในคลิปก่อนหน้านี้

เรื่องการทำคำพูดให้มันดูมีเสน่ห์ แล้วมันก็จะมีอยู่ ข้อนึงที่บีบอกไว้ว่า

ตัวบีเองเนี่ย จะพยายามทำเสียงให้มันเป็นโทนที่เป็นเสียงสูงขึ้นนิดนึง

เพื่อให้คลิปมันดูแบบกระชุ่มกระชวยอ่ะ ให้คนดูแล้วไม่ง่วงไม่หลับใช่ไหมคะ

ตัวมิเชล โอบาม่าเนี่ย ถึงแม้บางครั้งเขาก็จะดันเสียงให้มันสูงคึกคักขึ้นมานะคะ

แต่ท้ายประโยคของเขาเนี่ย มันจะลงต่ำเสมอเลย

ในช่วงแรกๆ ที่มิเชล โอบาม่าเนี่ย ช่วยสามีหาเสียงนะคะ ตอนนั้น บารัค โอบาม่า

ยังไม่เป็นประธานาธิบดีเนาะ ยังอยู่ในช่วงเลือกตั้ง ตอนที่มิเชล โอบาม่า

ออกไปปราศรัย เพื่อช่วยสามีหาเสียงเนี่ย มันก็จะมีประโยคหรือมีคำพูดเนื้อหาบางอย่างที่เขา

บอกว่าเป็นการพูดที่เหมือนแบบพูดไปเรื่อย พูดแบบไม่ได้เตรียมความพร้อมมา

ไม่ได้เตรียมการมา และบางคำอ่ะ

คนก็ไปตีความว่า เฮ้ย มิเชล ไม่ควรพูดแบบนี้นะ พูดแล้วให้บารัคดูแย่ลง

พูดทำไมเธอเป็นแบบจุดถ่วง เป็นตัวถ่วงของสามีเธอเองอะไรแบบนี้

มันก็จะมีคนแบบโจมตี ในด้านลบของมิเชลมา ในช่วงนั้นซึ่งมิเชลก็บอกว่า

ในการขึ้นพูดครั้งแรกของเธอเนี่ย มันมีข้อผิดพลาด แต่หลังจากนั้นเนี่ย

เธอก็ต้องมาทำการบ้าน เธอต้องมาเตรียมการในการพูด เธอต้องมาฝึกฝน เธอต้องมาเตรียม

script เธอต้องฝึกการอ่าน teleprompter

teleprompter ก็คือ เครื่องอ่านสคริปเหมือนของนักข่าวเนอะ ที่มันไหลๆ ขึ้นไปนะคะ

เธอต้องเตรียมตัวว่าง่ายๆ นะคะ แล้วเธอก็ต้องฝึกฝน

เธอย้ำกับคำว่าจะต้องฝึกฝนมากๆ เลยนะคะ ก็ไม่น่าแปลกใจเนอะ

ที่จากเดิมที่เธอก็อาจจะไม่พูดอะไรคมคาย เฉียบคม ลึกซึ้งขนาดนี้

แต่ปัจจุบันนี้คำพูดของเธอ มีมูลค่ามากเลยนะคะ นั่นหมายความว่า ในขณะคนที่

บิ๊กขนาดนั้น เขายังฝึกฝนก่อนที่จะพูดจริง

ตัวเราก็คงไม่แปลกนัก ที่เราจะต้องฝึกฝนด้วยเช่นกันนะคะ และการเตรียม script

เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ เพราะเราจะไม่สามารถเรียบเรียงในหัวปุ๊บแล้ว ก็พูดออกไปทันทีได้

อันนั้นมันก็จะ professional ไปเนาะ ช่วงแรกๆ ยังไงก็แล้วแต่ เราคงจะจำเป็นจะต้องวาง script

คร่าวๆ ก็ยังดีนะคะ ปกติแล้วเนี่ย มิเชล โอบาม่าเนี่ย เขาจะพูดโดยพูดต่อหน้าฝูงชนใช่ไหมคะ

คนเยอะๆ มานั่งฟังอยู่แบบนี้ใช่ไหมคะ ตาเขาก็จะมองที่ผู้คน มองซ้ายที ขวาทีแบบนี้ใช่ไหมคะ

แต่มันก็จะมีคลิปวีดีโอที่เธอต้องพูดผ่านกล้องจากการประชุมออนไลน์นะคะ การปราศรัยออนไลน์นะคะ

และบีก็สังเกตเห็นว่า โอ้โห วีดีโอที่มัน impact เป็นเพราะว่า

สายตาเธอสะกดผู้คนผ่านกล้องได้จริงๆ นะคะ เวลาที่เราถ่ายวีดีโอเนี่ย

ตาของเธอมองที่รูเลนส์แล้วก็ตั้งใจมองที่รูเลนส์รูเดียวแบบที่ตาไม่วอกแวกไปไหนเลย

มันทำให้เธอสามารถสะกดคนดูได้ นั่นหมายความว่า เราต้องฝึกให้ชินนะ

เวลาเราจะพูดเนี่ย มองที่รูเลนส์ แล้วก็โฟกัสไปที่จุดเดียวค่ะ

ข้อสุดท้าย คือการพยายามสื่อสารว่าฉันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกับทุกคนนะคะ

มิเชล โอบาม่าเนี่ย ทำตัวที่ค่อนข้างเข้าถึงง่ายเนาะ เวลาเขาพูดเนี่ย

เขาจะแสดงความรู้สึกร่วมไปกับผู้ชม

รู้สึกร่วมไปกับสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นคือจะมีความรู้สึกร่วมไปกับผู้คนอยู่ตลอดเวลานะ

เธอมีความเชื่อเรื่องของการเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่ต้องการที่จะนำเสนอสิ่งที่มันยิ่งใหญ่

นำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ในวิถีการแสดง

ของเธอยังคงยอมรับความเป็นมนุษย์ของเธอเอง และนี่มันเป็นเสน่ห์

และเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนรักเธอมากมายนะคะ

บีมีความรู้สึกว่า ถ้าเกิดว่าเราจัดทำในวิถีนั้นเหมือนกัน เราก็ยอมรับว่า

เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่พูดผิดได้ เป็นมนุษย์คนนึงที่มีอารมณ์

ความรู้สึกอินตามในเรื่องนู้นเรื่องนี้นั้นได้นะคะ แต่ก็วงเล็บมานิดนึงนะว่า

อารมณ์ความรู้สึกที่เราแสดงออกไป ก็ไม่ควรจะเป็นในทางลบ ที่มันไปกระทบต่อความรู้สึกของคนอื่น

ก็จะเห็นว่า มิเชล โอบาม่าเนี่ย ส่วนใหญ่เราก็จะเป็นอารมณ์ ความรู้สึกที่สะท้อน

ถึงความรู้สึกของตัวเธอเองเหมือนกับที่เธอออกมาต่อว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

เธอก็พูดด้วยความรู้สึกสงบนิ่งนะคะ ไม่ได้ก้าวร้าวรุนแรง แต่ก็เป็นความรู้สึก

ที่คุณใส่ความรู้สึกว่า เฮ้ย เธอเป็นห่วงประเทศนี้จริงๆ เธอก็จะดราม่าในส่วนของเธอไปนะคะ

โอ้ย อะไรจะเพอร์เฟคขนาดนี้นะคะ เธอสามารถเตรียมเนื้อหาการพูดได้เป็นอย่างดี

เธอมีวิธีการพูดเล่าเรื่องได้เป็นอย่างดี แถมเธอยังมีบุคลิก

สีหน้าท่าทางการแสดงความรู้สึกที่เข้าถึงผู้คนได้เป็นอย่างดี ทั้ง 3 อย่างนี้

เธอสามารถทำมันได้อย่างเพอร์เฟคดีเยี่ยม เพราะฉะนั้น มิเชล โอบาม่า

ถือเป็นหนึ่งในต้นแบบที่เราควรจะเอามาปรับใช้

หยิบบางเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เอามาปรับให้เข้ากับสไตล์ของเรานะคะ

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น