ช่วงนี้กระแสการตอบคำถามผั่วๆ ปังๆ โดนๆ เนี่ย มาเหลือเกินนะคะ
การอยู่หน้ากล้อง ถ้าเราสามารถทำตัวเองให้ดูฉลาดขึ้นได้ ทำตัวเองให้พูดอะไร
แล้วมันก็คมผั่ว โดนตลอดเลยเนี่ย มันก็ดึงใจของคนมาอยู่ที่เราได้ มันก็ทำให้คนชอบเราง่ายขึ้น
ทำให้คนเชื่อถือเรามากขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เรามาสร้างตัวตนบนออนไลน์
แล้วจะนำไปสู่การขายสินค้าอะไรสักอย่าง มันก็ต้องดึงความเชื่อถือของคนนะคะ
เราต้องการให้คนเชื่อถือเรา ให้คนมั่นใจว่า ทุกสิ่งที่ออกจากปากเราเนี่ย
เป็นสิ่งที่เขามั่นใจได้ เชื่อถือได้นะคะ เพราะฉะนั้นการดูดี ดูฉลาด
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยอ่ะค่ะ
บีนะคะบังเอิญได้ไปเจอคลิปวีดีโอคลิปนึงนะคะ เป็นคลิปวีดีโอของ ted talk นะคะ
ted talk ก็จะพูดอะไรที่มันฉลาดๆ สร้างแรงบันดาลใจประมาณนี้ใช่ไหมคะ แต่มันมีคลิปหนึ่งนะคะ
เป็นคลิปที่เหมือนกับทำออกมาเพื่อ ที่จะล้อเลียน ไม่เชิงล้อเลียน
เขาเรียกว่าเหน็บแนมแล้วกัน เหน็บแนมตัวคนพูด ted talk ด้วยกันเองเนี่ยล่ะค่ะ
คนที่พูด ted talk ที่บีพูดถึงในชื่อ บิว สตีเฟ่น นะคะ หัวข้อคลิปเขาก็คือว่า
วิธีที่ทำให้คุณดูฉลาดเวลามาพูด ted talk นะ ความหมาย คือ
อะไรก็เหน็บนั่นแหละ เหน็บว่าเนื้อหาเนี่ยดี หรือไม่ดีไม่รู้แหละ แต่ขอให้คุณดูเท่
ดูฉลาดไว้ก่อน บิว สตีเฟ่น เนี่ย เขาพูดออกมาเป็นทีละขั้น ทีละตอนเลยนะ
ว่าเริ่มต้นขึ้นมาอย่างนี้ และต่อไปคุณทำอย่างนี้ อย่างนั้น อย่างนั้นพอ
บีคิดตามจริงๆ เออคนที่มา ted talk ที่เรารู้สึกเค้าดูฉลาด ดูเจ๋ง ดูคูล
ดูน่าเชื่อถือ ดูให้แรงบันดาลใจ มันก็จะมีแพทเทิร์นคล้ายๆ กัน ในวิธีการนำเสนอ
แล้วก็ทุกครั้งที่เราดูเนี่ย เราก็อินตามเขาไปซะทุกคนซะด้วยสินะคะ
ซึ่งสตีเฟ่น เขาแบ่งขั้นตอน บีนับออกมาได้ ประมาณ 7 ขั้นตอน เขาไม่ได้พูด 1 2 3 4 แบบนี้นะ
เขาก็พูดไปเรื่อยๆ ของเขา แต่บีนับมาแล้ว ก็เรียบเรียงมาได้เนี่ย 7 ขั้นตอน เดี๋ยว
บีจะมาแชร์ทีละขั้นตอนนะคะ เขาให้มา 7 ขั้นตอน แล้วเขาบอกว่า ถ้าทำ 7 ขั้นตอนนี้
คุณจะดูฉลาดทันที แม้เนื้อหาที่คุณพูดจะดูไม่มีอะไรเลยก็ตาม แต่ย้ำอีกทีนะคะ
ว่าบีไม่ได้สนับสนุนว่า ให้คุณเอาเนื้อหาอะไรก็ไม่รู้จะเอามาสร้างภาพให้มันดูฉลาด
แล้วก็มาหลอกคนดูไม่ใช่อย่างนั้นนะ คือเราก็ต้องตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า
เรามั่นใจว่าเนื้อหาเรามันดี มันเป็นประโยชน์มันดีที่สุดเท่าที่ ณ เวลานี้ของเราจะหาได้นั่นแหละ
ณ เวลานี้เรารู้สึกว่า เนื้อหานี้มันดีที่สุด
และเราต้องการที่จะนำเสนอเนื้อหานี้โดยให้มันดูว่า บุคลิกเราดูนำเสนอ อย่างมั่นใจ
ดูฉลาดเฉียบคมมากขึ้นนะคะ นี่คือสมมติฐานที่เราจะคุยกันในวันนี้นะ
ทีนี่มาเรื่องของ บิว สตีเฟ่น กันก่อนนะคะ ก่อนที่ตอนท้ายบีจะไปพูดถึงน้องเฌอเอมทีหลังนิดนึงนะคะ
ตอนนี้เราพูดถึงบิว สตีเฟ่น กันก่อน เขาบอกว่ามาพูด ted talk
ยังไงให้มันดูฉลาด และ 7 ขั้นตอนนี้ มันคืออะไรนะคะ ขั้นตอนที่ 1 ค่ะ
พอเริ่มเปิดคลิปมาหรือว่า เริ่มพูด ted talk เนี่ย ให้คุณพูดอะไรแล้ว
มันรู้สึกว่าน่าสงสัย น่าติดตามให้ดูเหมือนว่า
คุณกำลังเก็บงำเนื้อหาที่มันทรงคุณค่าอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน
คุณพร้อมที่จะเผยเนื้อหาที่ทรงคุณค่าอยู่ข้างใน
แต่ยังไม่เคยตอนนี้ คุณพูดอะไรที่มันกระตุกต่อมให้คนคิดตามให้คนสงสัยตาม เอ๊ะ
มันจะพูดอะไรต่อยังไง เปิดคลิปมาแบบนี้
พร้อมกับท่าทางแอคติ้งการขยับไม้ขยับมือเยอะๆ ใน ted talk เนี่ย เขาบอกว่า
คุณอาจจะเดินไปเดินมา ทำท่าครุ่นคิดแต่เวลาที่เราอยู่หน้ากล้อง แล้วคงเดินไปเดินมาไม่ได้หรอก
มันก็ต้องมาตามด้วยท่าทาง ไม้มือที่เราที่เรารู้สึกเปิดคลิปแล้ว ให้เรื่องนี้มันน่าสนใจ
อย่างนู้นอย่างนี้ เดี๋ยวบียกตัวอย่างแล้วกัน อย่างขั้นตอนที่ 1 ที่เขาบอกว่า
ทำยังไงให้พูดแล้ว มันชวนสงสัยใช่ไหมใครๆ ก็อยากเป็นคนฉลาดค่ะ
หรืออย่างน้อยๆ เราก็คงอยากจะเป็นคนดูฉลาดในสายตาคนอื่น
และต่อจากนั้นสเตปที่ 2 ค่ะ จะตามมาด้วยการตั้งคำถามค่ะ การตั้งคำถามนี้
จะเป็นการดึงให้คนมีส่วนร่วมกับคุณดึงให้คนมีสมาธิอยู่กับการนำเสนอของคุณ
มีใครเคยบ้างไหมคะ คำถามนี้เป็นคำถาม basic ค่ะ
เป็นคำถามที่เราตั้งมาเพราะเรารู้อยู่กึ่งหนึ่งแล้วว่า
มันจะต้องมีคนเคยอะไรแบบนี้ เพราะเขารู้สึกว่า เออใช่ เออเคย
เนี่ยแสดงว่าเขามาเป็นส่วนหนึ่งในการเล่าเรื่องของเราเรียบร้อย แล้วดึงผู้คนเข้ามาแล้วนะ
อันนี้ขั้นตอนที่ 2 นะคะ ทีนีขั้นตอนที่ 3 ค่ะ
การทำให้คนรักเราทำให้คนเอ็นดูเราวิธีทำให้คนเอ็นดู
เราง่ายที่สุดค่ะ คือ เล่าเรื่องโจ๊กของตัวเองแซวตัวเอง
ล้อเลียนตัวเอง หรือเล่าเรื่องเปิ่นๆ นิดๆ หน่อย แล้วก็ทำท่าทางเขินนิดๆ นะคะ
เพื่อให้ตัวเองเนี่ย มันดูน่ารัก น่าเอ็นดูนะ เราก็จะเชื่อมโยงกับคนได้ง่ายขึ้นนะคะ
การแซวคนอื่นอาจจะโดนไม่ชอบได้
แต่การแซวตัวเองคนจะยิ่งชอบคุณง่ายขึ้นนะคะ ทำให้คุณรู้สึกว่า
ถึงแม้เขาจะเคยผิดพลาดเหมือนกัน เพราะตัวเราผิดมากกว่าเขาอีก เขาก็จะเอ็นดูเราไป
3 ขั้นตอนแล้วนะคะ ยังไม่ได้เข้าสู่ขั้นตอนที่จะทำให้คุณดูฉลาดนะคะ
ขั้นตอนที่ 4 ค่ะ คุณเริ่มพูดเข้าประเด็นค่ะ
แต่คุณไม่ได้เข้าประเด็นทันทีค่ะ คุณต้องอ้างอิงบุคคลสำคัญ
หรือเหตุการณ์สำคัญขึ้นมาก่อนก็อาจจะเล่าไปค่ะ ว่าเหตุการณ์ไหนล่ะ
ที่บุคคลสำคัญคนนี้เนี่ย เขาเคยทำแล้วมันเกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาของเราบ้าง
เล่ามาในประเด็นสั้นๆ ค่ะ ซึ่งขั้นตอนที่ 4 นะคะ การที่เราดึงสิ่งที่มันยิ่งใหญ่
ซึ่งมันสำคัญเข้ามา
ก็เพื่อที่จะขยายตัวเอง เพื่อที่จะหนุนตัวเองนะคะ ให้เราคนพูดเนี่ยนะคะ
ดูมีความรู้มีภูมิ รู้เรื่องราวที่เราพูดมันก็ดูหนักแน่น
ดูสำคัญ เพราะเราขยายตัวเราแล้วก็ขยายเรื่องที่เราพูด
โดยการดึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าสำคัญกว่าเข้ามาเกี่ยว ขั้นตอนที่ 4
จะเป็นขั้นตอนที่เน้นเกี่ยวกับการ build อารมณ์ ให้คนรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ ความรู้สึกอลังการ
ถ้าคุณสามารถแทรกการให้แรงบันดาลใจ อะไรไปตรงนี้ได้นะ คุณก็แทรกไปตรงนี้เลย
ทีนี้มาขั้นตอนที่ 5 พอเราบิ้วอารมณ์คนมาระดับหนึ่ง
เราต้องตบไปด้วยข้อมูลเลยค่ะ ขั้นตอนที่ 5 จะเป็นขั้นตอนของการแสดงตัวเลข สถิติ
กราฟ ผลงานวิจัย มีตัวเลขขึ้นมาเลย 5% ของคนที่เคย นู่น นี่ นั่น จากผลงานวิจัยของ มหา’ลัย นี่ๆ มีผลว่า
คนจำนวนที่เท่านี้เป็นอย่างนี้ อย่างนั้น มีผลงานวิจัยมีตัวเลข มีกราฟ มีข้อมูลเอามา
มันยิ่งทำให้เราดูทรงภูมิไหมคะ ดูฉลาด ดูมีความรู้ใช่ไหมคะ
เนื้อหาเราจากเดิมที่บิ้วให้คนอินตามด้วยความยิ่งใหญ่แล้วเนี่ย คนยังรู้สึกว่า โอ้
มันมีที่มาที่ไป เนื้อหาหนักแน่นยิ่งดูฉลาด แค่ 5 ข้อ
5 ขั้นตอนนี้ คุณดูฉลาดไปเยอะเลยนะ 80% แล้วนะแต่ยังไม่พอมา ตอนที่ 6
ขั้นตอนที่ 6 จะเป็นการเพิ่มความเท่ห์ ความเก๋
เพิ่มความเป็นเอกลักษณ์ของตัวคุณเองเข้าไปให้คุณไปหาคำศัพท์
คำศัพท์อะไรที่มันแบบดูเก๋ๆ วิวัฒนาการอะไรก็ได้ที่มันดูแบบดูมันปกติ
คนไม่ได้ใช้แล้วมันเป็นคำสำหรับคนที่ทรงภูมิเท่านั้นน่ะ หาคำแบบนั้นนะคะ
ข้อ 7 เนี่ย เพิ่มความประทับใจเพิ่มแฟนคลับของคุณ จากขั้นตอนที่ 7
คุณปิดท้ายขั้นตอนที่ 7 ด้วยคำคมประโยคเด็ด วลีเด็ดของคุณเลย
จะคำคมของคนดังก็ได้ สิ่งประเสริฐที่สุดของมนุษย์ ก็คือ
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และพัฒนาอะไรก็ว่าไปนะ
พูดประโยคนี้ประโยคเดียวแล้ว จบเลยค่ะ จบปุ๊บ ปังปั๊บค่ะ
คุณจะสังเกตเห็นน้องเฌอเอม เวลาน้องเฌอเอมเขาตอบคำถามจบคือจบนะ
เวลาเขาพูดตอบคำถามปุ๊บจบ ถึงแม้ว่าบางคำตอบของเขา
มันจะไม่ได้เคลียร์ 100% ขนาดนั้นถึงแม้บางคำตอบของเขา ก็อาจจะยังอธิบายไม่ครบทุกแง่ทุกมุม
แต่เมื่อไหร่ที่มันดำเนินมาจนถึงจุดหนึ่งแล้ว เขารู้สึกว่า ประโยคนี้ คือ ประโยคปิด
และอยากให้คนจำจบคือจบเลย ไม่มีการอธิบายต่อ
คุณจะรู้สึกเลยว่า ที่บีพูดมา บียังไม่ได้พูดถึงเนื้อหาเลยนะ
เนื้อหาว่ามันเฉียบคม มันดูฉลาดลุ่มลึกขนาดนั้นหรือเปล่า บียังไม่ได้พูดเลยนะ
บีพูดถึงว่าคุณจะพูดยังไง คุณจะแอคติ้งยังไง
คุณจะวางจังหวะลำดับก่อนหลังยังไง ให้คุณดูฉลาด เพราะฉะนั้น
ถึงแม้ว่าเนื้อหาของเรามันก็จะดูประมาณนึง ดูกลางๆ นั่นแหละ แต่ถ้าคุณเอามาปรุงแต่ง
เอามาทำให้มันอยู่ในจังหวะจะโคนที่มันจะสนับสนุน ให้มันดูฉลาดเนี่ย
มันก็จะช่วยให้เนื้อหาที่แสนธรรมดาของคุณเนี่ย มันดูมีคุณค่าดูน่าจดจำมากขึ้นใช่ไหม
แต่สิ่งที่ต้องเป็นโจทย์ของเราต่อไปก็คือว่าการดูฉลาดอย่างเดียวมันก็คงไม่พอหรอกเนาะ
ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกไม่มั่นใจ บีก็ยังดูจากตัวเองนะ
บีรู้สึกว่า เมื่อไหร่ที่รู้สึกไม่มั่นใจเนี่ย มันมีต้นเหตุมาจากว่า
บีรู้เรื่องนั้นไม่ดีพอ ไม่ลึกพอจากภายในของตัวบีเอง
บีไม่รู้สึกมั่นใจแล้วก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองฉลาด ในเรื่องราวเหล่านั้น นั่นหมายความว่า
ถึงแม้ว่าเราจะรู้วิธีที่เราจะนำเสนอยังไงให้มันดูฉลาด ในสายตาคนอื่นก็ตาม
แต่เราก็ยังคงต้องพยายามที่จะค้นคว้าศึกษา
เพื่อให้ตัวเราเชื่อมั่นในตัวเองจริงๆ ว่าฉันฉลาดจริงๆ ฉันรู้เรื่องนี้จริงๆ
เพราะฉะนั้นการศึกษาหาข้อมูลเบื้องหลังกล้อง ก็จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ
ที่จะช่วยทำให้เราพูดออกไปแล้ว มันดูฉลาดมากขึ้น เพราะว่าเรามั่นใจจากภายในนะคะ